วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิธีดู LV Neverfull ว่าจริงหรือปลอม

ไม่มีไรมาก เรื่องของเรื่องคือ เพิ่งถอยน้องเป๋า LV Neverfull GM มาใหม่ กะลังเห่อ เลยอยากเขียนวิธีดูความแตกต่างระหว่างของจริงกะของปลอม ก็ขอยืมบทความจาก K. ป้อง เซียน LV แห่ง SBN มาหน่อยนะคะ
กระเป๋า : Neverfull GM งวดนี้หลักฐานพร้อมสรรพ ให้ทุกท่านได้เห็นกันจะ ๆ ....
ขอเริ่มจากบนลงล่าง สีส้ม: เหล็กบางไป แล้วตัวเหล็กข้างล่างไม่ได้เป็นกลม ๆ นูน ๆ ออกมาอย่างงี้แน่นอน....ดูภาพประกอบได้ด้านล่างตามจุดศรสีม่วง: เห็นลายคลื่นในเนื้ออะไหล่....หลักการดูนี้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหนก็คือปลอมทั้งสิ้น..จำไว้เลยนะ
สีแดง: มุมตรง ๆ แลัวก็หักลงมา.....โธ่ ของจริงเขาเป็นมุมเฉลียงตรง ๆ ลงมาเลยครับ ไม่มีหัก ๆ กลางคันหรอกค่า ถ้าไม่เชื่อไปดู accessories pouch ของคุณ ๆ ท่าน ๆ หรือดูจากรูปข้างล่างที่ทำสี่เหลี่ยมสีแดงให้ดูได้ต่อลงมาทางซ้ายนะคะ
สีม่วง : ซิป......อะร้าอร่ามมากกกดุจทองชุบ .....ของจริงไม่อะร้าอร่ามและไม่มีลายคลื่นในเนื้ออะไหล่
สีเขียว: ตะเข็บเล็กเกินไป อันนี้ด้าย size ไม่น่าจะเกินเบอร์ 2.5 ด้วยซ้ำ....ตะเข็บเล็กผิดปกติ เดี๋ยวดูรูปด้านล่าง"LOUIS VUITTON"L: หางยาวไป จะทิ่มตัว O อยู่แล้วP: ดูรอยตรงหัวนะคะ อันนี้เป็นเหลี่ยม ๆ ซึ่งของจริงจะมน ๆ A: ขีดตัว A อยู่สูงไป ควรจะอยู่ต่ำกว่านี้ แล้วมุมแหลมของตัว A ไม่แหลมอย่างแรง....ดูภาพประกอบด้านล่างR: นี่ก็ case เดียวกับตัว P แถมที่ขีดของตัว R อยู่ห่างจาก เส้นตรงแนวดิ่งของตัว P ไปเกือบวานึง...ดูรูปด้านล่างสีแดง: U(vuitton) I(Paris) F(France) ควรจะอยู่ในระนาบเดียวกันถ้าเราวาดเส้นตรง.. อันนี้ห่างกันมากกกกmade in France และสีดำ : คำว่า made in France เล็กเกินไป แล้วเส้นสีดำคือความกว้างของคำว่า made in Franceถ้าเราขีดเส้นตรงขึ้นไป....มันจะชนกลาง ๆ ตัว O ทั้งคู่ซึ่งของจริง มันจะต้องกว้างกว่านี้ ....ดูรูปประกอบด้านล่างเช่นกันรูป 2 กับ 3 นี่คือของแท้ เอาไว้ดูเปรียบเทียบ รูปที่2 เห็นที่ขีดสีดำไว้ดูความกว้างไหมคะ?.....กว้างกว่ากันเยอะต่อด้วยกระเป๋า Bastille ที่ลงมาในห้องนี้ไม่นานมานี้ขอยอมรับครับว่า stamp เนียนมากจริง ๆ ถ้าไม่เซียนก็ยากที่จะดูออกแต่อย่างไรก็ดี.....ตัว L หางยาวไปนิดนึง แล้วหัวตัว A ก็ไม่แหลมอีกแล้วครับส่วนซิปดูเลยนะอันซ้าย(อะร้าอร่าม) คือของปลอม .....
รูปข้างล่างคือ ของจริง....ดูดี ๆ นะคะว่าซิปจะอมด้านๆ หม่นๆ หน่อย

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

Palette




หลังจากหายไปนานไม่ได้อัพเดทเลย เนื่องจากยุ่งๆ อยู่กับหลายๆ เรื่อง ก็จะขออัพเดทกันต่อไป คราวนี้ขอพูดถึงพวก Palette ทั้งหลาย หนึ่งในสินค้าที่ชื่นชอบมากเป็นการส่วนตัว เพราะสะดวกแก่การพกพา ทำให้เราไม่ต้องขนเครื่องสำอางค์ไปหมดตู้ ก็พร้อมสวยทั้งตา แก้ม ปาก ในอันเดียว ขอเริ่มจากอันแรกๆ ที่หอบหิ้วมาจากอเมริกาาและชอบมากมาย คือ The Beach Bunny จาก Too Faced ด้วยโทนสีน้ำตาลทองที่สวยดูเป็นธรรมชาติ และขนาดที่กระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาซึ่งเราเองก็มักจะเอาเซ็ตนี้ไปเที่ยวทะเลอยู่บ่อยๆ เพราะทำให้เราดูเหมือนแม่สาวชาวเกาะ ด้วยสีตาที่มีประกายสว่างกับแก้มประกายทอง และริมฝีปากที่มีให้เลือกทั้งแบบนู้ด และแบบมีประกาย แต่งออกมาน่ารักสุดๆ (ชมตัวเอง โฮะๆ) แต่เสียอย่างเดียว ไม่มีกระจกกับแปรงสำหรับแต่งหน้าให้เลย ทำให้เวลาแต่งค่อนข้างจะทุลักทุเลซักหน่อย ถ้ามีครบจะเวิร์คมาก ส่วนอันถัดมา The Future Lovers ก็ยังเป็นของ Too Faced เหมือนเดิม เนื่องจาก Packaging น่ารักมาก (อีกแล้ว) แต่มีขนาดใหญ่และอลังการกว่าอันแรก และที่ดีกว่าคือมีแปรงทาตากับปากเพิ่มมาให้อีก 2 อัน แต่ก็ยังไม่มีกระจกเหมือนเดิม ภายในก็จะมี Eye Shadow 3 สี สุดเปรี้ยว ทั้ง เขียว ชมพู และน้ำเงิน ทาแล้วก็สีติดเห็นชัดดี กับ Blush on สำหรับไว้ไฮไลท์ให้ใบหน้าดูมีประกาย แต่ที่เห็นแล้วอยากจะกรี๊ดสุดๆ คือ ลิปสติก 4 สี พีช แดง ทอง และชมพู ที่มีกากเพชรแบบอลังการสุดๆ ครั้งแรกที่เปิดมาเห็น สายตาหยุดอยู่ที่ประกายของลิปก่อนเลย (อยากให้เห็นของจริงจัง...เพราะมันแว้บมาก) คือถ้าทาออกมานี่คงจะเว่อร์สุดๆ น่าจะเหมาะกับแต่งหน้าแนวแฟนซีน่ะ เลยทำให้ทุกวันนี้ลิปทั้ง 4 สี ยังอยู่ครบถ้วน เพราะไม่ได้ใช้เลย ไม่กล้าอ่ะ เขิน หุหุ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

Lip Balm & Lip Gloss



วันนี้ จะขออุทิศบทนี้ให้กับ “ลิปบาล์ม & ลิปกลอส” อันนี้มีที่มาจากตัวของข้าพเจ้าเองเนื่องจากเป็นสาวกลิปบาล์ม กับลิปกลอสอย่างแรง ซึ่งหลายๆ คนก็คงจะเข้าใจเราอ่ะนะว่าลิปพวกนี้สำคัญยิ่งต่อชีวิตสาวๆ ปากแห้งอย่างเรา ดังนั้นเลยทำให้เรามีลิปอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมากมายใช้ไม่หมด แต่ก็ยังตัดใจเลิกซื้อไม่ได้ซะที ก็เลยอยากลองเอามาลงให้เพื่อนๆได้ดูกันอ่ะนะค๊า อันแรกอิมพอร์ตจากออสเตรเลีย ยี่ห้อ Chi Chi เป็นยี่ห้อเด็กๆ ราคาไม่แพง แพคเกจจิ้งน่ารักสุดๆ มาในกล่องเหล็กขนาดกระทัดรัด ด้านในมีลิปบาล์ม 3 สี 3 กระปุก และลิปกลอสอีก 2 สี ทุกอันจะมีกลิ่นหอมต่างกัน แต่ละอันหอมน่าหม่ำมากๆ แถมชื่อของลิปกลอสก็เปรี้ยวได้ใจ สีก็สวยงามทาแล้วไม่หนักปาก แต่อาจจะติดไม่ทนเท่าไหร่เนื่องจากความหอมเย้ายวน ทำให้เราเผลอเลียปากแผล่บๆ อยู่บ่อยๆ มันก็เรยหมดเร็วไง หุหุ
ถัดมาก็ยังคงเป็นแบรนด์จากแดนจิงโจ้เหมือนเดิม Kit เป็นลิปกลอสยี่ห้อใหม่ที่จะเน้นกลิ่นมิ้นท์ พอทาไปแล้วนอกจากจะได้สีปากสวยหยาดเยิ้มอวบอิ่มแล้ว ก็ยังจะได้ความหอมสดชื่นเหมือนเพิ่งอมลูกอมมิ้นท์ดับกลิ่นปากมาหมาดๆ 555
ส่วนอันนี้ขอแนะนำ ลิปกลอสอิมพอร์ตจากอเมริกา ของ Victoria’s Secret ค่อนข้างโด่งดังในหมู่สาวๆ เมืองไทย เนื่องจากราคาที่ไม่แพง และคุณภาพสุดเริ่ด ด้วยเนื้อลิปกลอสที่เข้มข้น ไม่ซึมเลอะออกนอกขอบปาก สีสันน่ารักมีประกายวิ๊งๆ เล็กน้อย บวกกับกลิ่นหอมของผลไม้หลากชนิด รุ่นนี้เราใช้กลิ่น Cherry Bomb หมดไปแล้ว 1 อัน ตอนนี้กำลังใช้กลิ่น Pink Lemonade แล้วว่าจะต่อด้วยรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมากลิ่น Cherry Baby และกลิ่น Fuzzy Navel ลวดลายสีสันรวมทั้งกลิ่นหอมน่ารักสุดๆ อีกยี่ห้อที่ฮิตไม่แพ้กันก็คือ Bath & Body Works อันนี้เป็นผลพลอยได้จากการไปซื้อพวกครีมกับโลชั่น ซึ่งเป็นอันที่ฮิตจริงๆ ของเค้า เราเห็นว่ามีหลากสีหลายกลิ่นก็เลยทนความเย้ายวนไม่ไหว ต้องถอยมาลองใช้ซักหน่อย เหอๆ แต่คาดว่าไม่น่าจะต่างจากของ Victoria’s Secret เท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าจะเป็นไลน์เดียวกันผลิต (เนื่องจากในร้าน Bath มีโลชั่นของ Victoria’s ขายอยู่ด้วย เลยเดาเอา หุหุ) ที่เราซื้อมาก็จะมีกลิ่น Fruit Punch (ไม่มีในรูป), Limeade และ Cotton Candy อันแรก ให้เพื่อนแอ้มเป็นของฝากไปแล้ว ส่วนสองอันหลังนี้ซื้อมา เนื่องจากตอนนี้กำลังอยากได้กลอสใสสีอ่อนๆ เอาไว้ใช้กับลิปสี (สีลิปสติกจะได้ไม่เพี้ยน) แต่ยังไม่ได้แกะลอง เนื่องจากของเก่าก็ยังใช้ไม่หมดเรย แหะๆ อันต่อมาเป็นลิปบาล์มกลิ่นขนม 7 สี 7 กลิ่น ของ Maidenform จากอเมริกาเหมือนกัน (อันนี้ซื้อในร้านชุดชั้นใน งงอ่ะดิ หุหุ) น่าใช้สุดๆ เนื่องจากสามารถทาได้ตลอดทั้งก่อนแต่งหน้า และก่อนนอน จริงๆ มีอีเซ็ตนึงจะเป็นกลิ่นขนม แต่แจกเป็นของฝากไปหมดแล้ว เลยไม่มีรูปให้ได้ยลกัน ส่วนเซ็ตนี้เป็นกลิ่นไอติมรสต่างๆ มายั่วให้เราหิวเล่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นไอติมรส Strawberry Shortcake, Caramel, Lemo Meringue, French Vanilla, Mint Chocolate, Blackberry แต่ละชื่อน่ากินขนาดไหนก็ดูเอาเองแร้วกันนะค๊าทุกท่าน ยังค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เรายังขอนำเสนอลิปกลอสอันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งไปถอยมาจากอเมริกา ยี่ห้อ Sugar (แค่ชื่อก็หวานแล้ว) อาจจะดูเป็นยี่ห้อเด็กๆ ก๊องแก๊งหน่อย แต่ราคาก็ไม่เด็กนะ อันนี้เป็นรุ่น Shellac สี Acrylic (อ่ะ ไม่ต้องงง นี่คือชื่อสีนะจ๊ะ อย่าเข้าใจผิด ว่าเป็นสีอะคริลิคแล้วเอามาทาปาก) ตอนแรกดูสีจากภายนอกออกจะน่ากลัวซักหน่อย แต่พอทาจริงๆ สีสวยมาก ดูใสๆ เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญสุดๆ กลิ่นหอมมากกกกกกก แค่ได้กลิ่นก็อยากจะเอากรอกปากกินแล้ว (เว่อร์ไปมั้ย?) เป็นกลิ่นแบบคาราเมล แล้วพอทาปุ๊บเราก็ลองลิ้มรสดู Oh my god! หวานอร่อยจิงๆ เราเลยตัดสินใจซื้อแบบชั่ววูบภายในเวลาไม่ถึง 2 วิ. ว่าชั้นต้องมีลิปกลอสอันนี้มาอยู่ในครอบครองให้ได้ ฮ่าๆๆ (บ้าไปแร้ว) แต่ก็ไม่ผิดหวังนะ เพราะสีสวยติดทนเงานาน ของเค้าดีจริงๆ ส่วนอันนี้ ซื้อมาเพราะชื่อ (งงอ่ะดิ) คือชื่อมันแร่ดดีไง ชอบเลยซื้อแบบไม่คิดอีกแร้ว สงสัยกันล่ะสิ ก็ชื่อ “Total Bitch” ไง หุหุ ชอบๆ แรงดี ชื่อสี Sheer Madness จะเป็นสีแบบ tint ทั่วไป ทาแล้วก็จะปากแดงๆ ประมาณน้ำยาอุทัยน่ะแหละ อันนี้ไม่ขอเอ่ยสรรพคุณมาก เนื่องจากซื้อแบบไร้เหตุผล เหอๆๆ ไหนๆ ก็ซื้อแบบไร้เหตุผลมาเยอะแล้ว ขออีกอันแล้วกัน นี่ก็ซื้อเพราะ packaging น่ารัก มันคือ Miso Lip Lacquer สี Iced cupcake ยังไม่กล้าแกะใช้เลย เสียดายแพคเกจจิ้ง ก็ไม่มีอะไรมากแค่ชอบเพราะน่ารัก แค่นั้นเอง จบข่าว!

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

MAC

วันนี้ก็จะขอพูดถึงเครื่องสำอางค์ยอดนิยม นั่นก็คือ MAC นั่นเอง สำหรับยี่ห้อนี้คงไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงมากสาวๆ คงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เนื่องจากสรรพคุณอันแสนเลิศเลอ หาใช่งามด้วยรูปลักษณ์ แต่จะว่าไปพักหลังเค้าก็มีวิวัฒนาการดีขึ้นนะ เห็นมีตลับสวยๆ เพียบ (แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เนื่องจากของเก่ายังใช้ไม่หมดเรย T_T) จากประสบการณ์ที่เคยได้ใช้มาก็จะมี Eye shadow สี Pink freeze frozt อันนี้ไปขอซื้อต่อเจ้าแม่แมคเค้ามา (ยัยชมพู่) ซึ่งก็เป็นอายแชโดว์สีชมพูประกายเงิน สวยงามเจิดจรัสดี พอทาบนเปลือกตาแค่สีเดียวก็เริ่ดแล้ว แต่จะบอกว่าสีอาจจะเพี้ยนได้ขึ้นอยู่กับความเพี๊ยนของคนที่ใช้อ่ะนะ เหอๆ ล้อเล่ง จิงๆ แล้วขึ้นอยู่กับสีผิวแต่ละคน เพราะขนาดเดี๊ยนทาเองยังสีเพี๊ยนเป็นออกฟ้าเงินๆ เลย (สงสัยเดี๊ยนจะเพี๊ยนจัด...จัดว่าสวย ฮิ้ววว) แต่ยังไงก็เริ่ดอยู่ดี
อันถัดมาคือ Fluidline สี Blacktrack ก็คือ อายไลน์เนอร์ สีดำนั่นแหละแต่เป็นแบบเจล อันนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ถึงปานกลาง (ก่อนที่จะไปใช้ไลน์เนอร์แบบน้ำ) เพราะเขียนได้ง่ายกว่าและอยู่คงทน ตั้งแต่เช้าเข้างานถึงไปแดนซ์กระจายต่อถึงตีสองก็ยังคงทนงดงามอยู่ ใช้คู่กับพู่กัน Eye liner brush เบอร์ 266 เป็นพู่กันหัวตัดเฉียงสำหรับเขียนขอบตาที่เริ่ด (อีกแล้ว) ตอนแรกๆ อาจจะยังใช้ไม่ถนัดนัก แต่พอเขียนบ่อยๆ เข้าจะเริ่มชิน และสามารถตวัดหางตาได้อย่างคมกริบ แต่ข้อเสียสำหรับ Fluidline คือ พอใช้ไปซักครึ่งกระปุก เนื้อเจลจะเริ่มแห้ง ทำให้เขียนไม่ค่อยติด แต่เราก็มีวิธีแก้อันแสนจะชาญฉลาด (เหอๆ) ด้วยวิธการแสนง่าย เพียงแค่หยด Baby oil ลงไปนิดหน่อยเท่านั้น ก็สามารถทำให้เจลนั้นกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม แต่สีอาจจะจางลงหน่อย ถ้าไงก็ดัดแปลงกันเอาเองตามแต่สะดวกนะจ๊า ต่อมาคือ Matt Lipstick สี Kinda sexy ที่เป็นลิปครีมเนื้อด้านสีออกโป๊เปลือย (นู้ดไงฮ้า) อันนี้ได้รับอิทธิพลมาจากลูกพี่ลูกน้องกระเทยสุดสวยของเดี๊ยนเอง หล่อนใช้มาพอลองทาแล้วรู้สึกเซ็กซี่ขึ้นมาทันที (เว่อร์ไปมั้ย?) เหมาะกับการแต่งแบบเปรี้ยวๆ ทาตาแบบ Smoky eyes ปัดแก้มสีพีช แล้วทาปากสีนี้นะ สุดยอดแห่งความเซ็กซี่! แต่มันยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เราสามารถเพิ่มความเซ็กซี่ขึ้นไปอีกด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นต่อไป นั่นคือ Lip gloss สี Of corset ที่มีสีใกล้เคียงกับลิปด้านบน แต่จะให้ความเงาวาวงดงาม ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มเซ็กซี่ ประหนึ่ง Angelena Jolie Pitt ก็ไม่ปาน โฮะๆๆๆ เหมาะกับการแต่งไปเริงร่ายามราตรีมาก ว่าแล้วก็อยากไปเที่ยว หุหุ
สำหรับผลิตภัณฑ์ของ MAC ชนิดอื่นๆ ถ้าท่านใดสนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้กับเจ้าแม่แมค (ชีมีเยอะมาก) หรือถามผ่านเดี๊ยนก็ได้นะคะ ยินดีให้คำปรึกษา

ส่วนเซ็ตนี้ไปสอยมาจากเมกา เป็น Limited Edition กระเป๋าในเซตแนวประมาณ Chanel ดูไฮโซทีเดียว ส่วนสีโดยรวมจะออกโทนส้มอมชมพู โดยในเซตจะมี Pigment, Blush และ Lip Glass งามมากกกก ชอบทุกอย่าง สุดๆ เลยอ่ะ คือเป็นเซตที่ใช้ได้ทุกวัน ไม่เวอร์เกิน หรือจะใช้เวลาไปงานก็ได้

เรามาดูตัวแรกเลย นั่นก็คือ Pigment สีชมพูอมส้มวิ้งๆ พอทาที่เปลือกตาจะได้วิ้งสวยใสไม่เวอร์ เราก็แต่งมาทำงานบ่อยเหมือนกันนะ

Anna Sui

จากคราวที่แล้วได้แนะนำ benefit ให้ไปลองหาใช้กันดู มาถึงคราวนี้ก็จะขอเสนอ Anna Sui เนื่องจากก่อนที่จะเห่อ benefit นั้น เราก็กำลังบ้าซื้อป้าซุยสุดฤทธิ์ ซึ่งก็ได้รับอิทธิพลมาจากแก็งค์เพื่อนสาวที่ทำงาน (เจ้, ยัยผู่ และเพื่อนแอ้ม) ที่เริ่มจากการลองลิปสติกของเพื่อนแอ้มก่อน แล้วยัยผู่ก็ไปซื้อตามพร้อมด้วยแป้งอีก 1 ตลับ พอเราได้ลองแป้งก็อยากได้มั่ง ประจวบกับมีญาติผู้ใหญ่ใจดีกำลังจะไปเมืองนอกเลยฝากซื้อซะ ขอแนะนำท่านที่คิดจะซื้อเครื่องสำอางค์ Anna Sui ไว้เลยนะคะว่าใน Duty Free ถูกกว่าซื้อห้างเยอะมากกกกกกก (โดยเฉพาะแป้ง)
เกริ่นมาเยอะแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ขอเริ่มจากแป้งก่อนเลยแล้วกัน Pressed powder no.700 เป็นแป้งไม่ผสมรองพื้นที่บางสุดๆ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบลงรองพื้นหนาเหมือนเรา ดูเหมือนไม่ได้ทาแป้ง ธรรมชาติสุดๆ และที่พิเศษอีกอย่างคือ แป้งสีนี้ (no.700) สามารถใช้ได้กับทุกสีผิวจิงๆ อันนี้พิสูจน์แล้วด้วยตัวเอง เนื่องจากเรา (ผิวสองสี) แม่เรา (ผิวคล้ำ) และยัยผู่ (ผิวขาว) ใช้แป้งเบอร์เดียวกันได้ เจ๋งสุดๆ แต่แป้งกับตลับต้องซื้อแยกกันนะ ถ้าซื้อตลับในห้างก็เกือบพันแล้ว ของเราประมาณ 400 ถูกกว่าเห็นๆ
ส่วนอย่างที่ 2 คือ Face Color Accent no. 301 เป็นบลัชออนสีสด แต่พอปัดจริงๆ สีก็ไม่ได้เข้มมากหรอก เอาจิงๆ เลยก็สีไม่ค่อยติดอ่ะ เราว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ น้อยด้วย แพงด้วย รู้สึกเสียดายตังค์ แต่ชอบ packaging นะ ยอมรับเลยนะว่าเป็นคนซื้อเครื่องสำอางค์โดยดูจาก packaging (ดูไร้สาระเนอะ แต่มันห้ามใจไม่ได้จิงๆ ง่ะ) และ Anna Sui ก็เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ออกแบบได้น่ารักน่าใช้สุดๆ เราก็เลยต้องสอยมาเชยชมซะให้หายอยาก หุหุ
ต่อมา คือ ลิปสติก Sui Rouge no.400 อันนี้ประทับใจนะ ดูจากสีจริงอาจจะคิดว่าเป็นสีแดงสด แต่พอทาแล้วก็จะเป็นลิปสติกที่เหมือนลิปมันมีสีแดงเรื่อๆ เหมาะกับการแต่งหน้าสไตล์สาวญี่ปุ่นเกาหลีคิกขุแอ๊บแบ๊วสุดฤทธิ์
ซึ่งก็ต้องมาต่อกันที่ผลิตภัณฑ์ตัวสุดท้ายนี้ Sui Lip Gloss no.305 ที่เป็นลิปกลอสใสสีชมพูวาวระยับผสมด้วยกากเพชรวิบวับนิดๆ ยิ่งใช้คู่กับลิปสติกด้านบน ปากจะเด้งมาก สามารถเห็นปากได้ตั้งแต่ 200 เมตรก่อนถึงตัว 555 เริ่ดจิงๆ อันนี้ ทาครั้งเดียวปากเด้งทนนาน และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบ อ้อ! ลืมบอกไป เครื่องสำอางค์ Anna Sui ทุกชนิดมีกลิ่นของดอกกุหลาบ ถ้าคนชอบก็โอเค แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบกลิ่นกุหลาบเหมือนเรา ก็จะแสลงใจทุกทีที่ใช้ แม่เรายังคิดว่าแป้งเราเหม็นหืนเลย T_T
สำหรับใครที่คิดจะซื้อป้าซุยใช้ก็ลองเอาไปพิจารณาดูดีๆ เพราะบางอย่างก็ไม่แนะนำ แต่บางอย่างก็เริ่ดซะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไว้คราวหน้าจะมีผลิตภัณฑ์อะไรมาแนะนำกันอีก ก็ต้องติดตามกันต่อไปนะคร้าบบ...พี่น้องคร๊าบบบบ

Benefit

เนื่องด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อน เพิ่งไปซึ้อเครื่องสำอางค์ benefit มา แล้วก็นั่งชื่นชมกับความงดงามและคุณสมบัติสุดเลิศของมัน เลยจุดประกายว่าเราน่าจะเขียนแนะนำเกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ใน blog ของเราเอง เพื่อให้คนอื่นได้เข้ามาอ่าน และจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางค์ของเพื่อนสาวทั้งหลาย ว่าเคยใช้ยี่ห้อไหนอะไรเวิร์ค เผื่อจะไปซื้อใช้มั่ง หุหุ











ก็ขอเริ่มด้วยอันแรกๆ ที่ซื้อมาเลย นั่นก็คือ Dallas ที่เป็น blush + bronzer ในตัวเดียวกันที่จะทำให้ใบหน้าเป็นประกายเจิดจรัสดุจต้องแสงอาทิตย์แม้อยู่ในร่ม (เป็นไง? สำนวนสุดยอดมั้ยล่ะ? 555) ถ้าปัดแก้มก็จะเป็น blush สีออกน้ำตาลธรรมชาติ ทำให้หน้าดูระเรื่อเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้แต่งมาก แล้วถ้าเอามาปัดให้ทั่วหน้าบางๆ ก็จะทำให้หน้าดูไม่ขาวซีด และที่เริ่ดสุดๆ คือ เมื่อออกไปอยู่กลางแจ้งจะทำให้หน้าดูเป็นประกายสวยงาม ชอบสุดๆ คิดดูแม้แต่แม่เรายังชมเลยว่าเราแต่งแบบนี้แล้วงาม นานๆ แม่จะชม หุหุ


ส่วนอีกตัวนึงซื้อมานานแล้วเหมือนกัน เป็น Limited Edition (ตอนนี้ไม่มีที่เคาน์เตอร์แล้วล่ะ) คือ Pink to please the girl, gold to get the boy ชื่อยาวอลังการมาก จิงๆ แล้วก็คือ Pallate โทนสีชมพูทอง (มี eye shadow 3 สี กับ lip cream 3 สี) ขอบอกว่าทาทั้งตาและปาก + ปัดแก้มด้วย Dallas แล้ว ก็จะเหมือนเพิ่งไปเที่ยวทะเลกลับมาใหม่ๆ เรย ชอบสุดๆ ยิ่งเอาไว้แต่งตอนไปเที่ยวทะเลมานะ กิ๊บมาก ลุคประมาณสาว surf แถว Tahiti โฮะๆๆ ชอบ...ส่วนเซ็ตนี้ ได้มาตอนไปเมกา หลังจากการเตรียมตัวสืบหาคุณสมบัติของแต่ละตัวเป็นอย่างดี รวมทั้งแอบไปลองที่เคาน์เตอร์มาก่อน แล้วก็จดลิสต์ไปเกือบ 10 รายการ แต่แล้วพอไปถึงที่ Sephora (ร้านที่รวมเครื่องสำอางค์หลากหลายยี่ห้อ) ก็กลายเป็นรู้สึกเฉยๆ กับ benefit ไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ ก็เลยสอยมาแค่นี้ เอาแค่ที่อยากได้จริงๆ เนื่องจากราคาไม่ต่างกันเท่าไหร่กับซื้อที่เมืองไทยเวลา Sale 10% อ่ะนะ (ซื้อที่นู่นมันต้องบวก Tax อีก 8.9%) ก็เลยคิดได้ว่ากลับเมืองไทยแล้วค่อยซื้อก็ได้ ตอนนั้นก็เลยซื้อยี่ห้ออื่นแทน หุหุ

อันแรกของเซ็ตที่ขอกล่าวถึงต้องนี่เลย Do it daily! เป็นครีมบำรุงที่ผสมกันแดด SPF10 ตอนนี้เราก็ใช้ทุกวันก่อนแต่งหน้า รู้สึกว่าให้ความชุ่มชื้นกับหน้าดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทาแล้วสดชื่นเหมาะกับตอนเช้าๆ โดยรวมถือว่าใช้ได้ทีเดียว แต่ก็ไม่ได้เห็นผลชัดเจนนักในเรื่องลดริ้วรอย (อันน้อยนิดของเรา หุหุ) แล้วก็พวกรอยแดง รอยดำจากสิว แต่ขอให้คะแนน Packaging มากมาย ชอบนะ ดูธรรมดา แต่แอบกิ๊บ!

อันต่อมา ยังขอเป็นเรื่องการบำรุงอยู่ เนื่องจากว่าหลังๆ เริ่มสำเหนียกตัวเองได้ว่าเริ่มสูงวัยแล้ว (วัยรุ่นเซ็ง) ทำให้เริ่มหันมาทุ่มกับการบำรุง แต่เนื่องจากเราก็ยังไม่ได้มีริ้วรอยเด่นชัดมาก ก็เลยขอใช้แบรนด์เด็กๆ อย่าง benefit ไปก่อน (ไว้อายุมากกว่านี้แล้วค่อยใช้พวก Lancome, Estee อะไรประมาณนั้นแล้วกัน หุหุ) อันนี้ คือ Eyecon ก็เป็นบำรุงใต้ตาให้ไม่หมองคล้ำ ผลจากการใช้ทุกคืนก็ปรากฏว่า ไม่เห็นความแตกต่างอะไรเท่าไหร่ ก็แค่รู้สึกว่าได้บำรุงใต้ตานิดนึง แต่ก็ไม่เห็นช่วยให้ใต้ตาหายดำ อันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเรานอนดึกประจำรึป่าวนะ?

ต่อมาคือ 10 (Ten) เป็น Highlight กับ Shading อย่างละครึ่ง อันนี้เราเคยไปลองแต่งที่เคาน์เตอร์มาแล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเจ๋งมากเลย เพราะใช้ง่ายดี แค่ใช้แปรงที่เค้าให้มาจิ้มลงไปในกล่อง แล้วก็ปัดไล้ตามโหนกแก้ม โดยให้ด้านสีอ่อนอยู่บน แล้วสีเข้มอยู่ล่าง มันก็ทำให้แก้มด้านบนเราเหมือนกับปัดไฮไลท์เงาๆ ส่วนด้านล่างก็เหมือนทำเชดดิ้งให้หน้าดูเรียวขึ้น จากนั้นเราก็ตั้งมั่นไว้เลยว่าต้องไปสอยมาให้ได้ แต่พอซื้อใช้เอง กลับรู้สึกว่าทำไมมันไม่เหมือนตอนไปลองเลยอ่ะ เหมือนสีมันไม่ค่อยออกนะ ต้องปัดๆ ถูๆ อยู่หลายรอบกว่าจะเห็นสีชัดเจน ก็เลยค่อนข้างเซ็งอยู่เหมือนกัน ส่วน Gee...that was quick! เนี่ยเป็น Eye & Face Remover ที่เราซื้อมาตุนไว้ จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้แกะใช้เลย เนื่องจากยังใช้ Eye Remover ของ Clinique ไม่หมดเรย หุหุ แต่เมื่อดูจากปริมาณและราคาแล้ว ถือว่าน่าซื้อทีเดียว เพราะขวดใหญ่พอสมควร (8.0 US fl oz.) ราคาประมาณ 800 กว่าบาทเอง ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นแล้วถูกกว่านะ ขวดก็น่ารักกว่า สรุปว่ายังไม่ทันได้ใช้ก็ชอบแล้ว เอาไว้วันไหนลองใช้แล้วจะมาอัพเดทให้อ่านกันอีกทีนะคะ เหอๆ Pocketpal อันนี้ได้มาตอนวันเกิด จากเพื่อนๆ GSB The Gang ขอกราบงามๆ มานะที่นี้ ขอบคุณนะค้า... ปกติแล้วเราเป็นคนไม่ค่อยชอบใช้ tint ทั้งหลายแหล่ เพราะเป็นคนสีปากคล้ำ บวกกับเวลาทาแล้วเหมือนประหนึ่งว่าเพิ่งไปดูดเลือดมา แถมทำให้ดู 'สก๊อย' นิดๆ อ่ะ แต่พอลองใช้อันนี้แล้วโอเลยนะ เพราะเวลาทามันจะมีพู่กันที่ช่วยให้สีเสมอกันทั้งปาก แต่ต้องทากับปากแบบ plain เลยนะ (ไม่ต้องทาลิปบาล์ม ถ้าทาแล้วสีไม่ค่อยติด) จากนั้นก็ทากลอสใสที่อยู่อีกด้าน ก็จะได้ริมฝีปาสีแดงระเรื่อดูสุขภาพดีเงางาม ที่จริงมันเอามาทาแก้มได้ด้วยนะ แต่ไม่เคยลอง คือ งกอ่ะ ยิ่งมีน้อยๆ อยู่ เสียดาย สองอันนี้ซื้อตอนช่วงตรุษจีน Sale 10% พอดีเพื่อนออยล์ฝากเราซื้อ Dr. Feelgood แล้วคุณ BA บอกว่าทำไมไม่ซื้อให้ครบ 2,500.- ล่ะคะ จะได้ลดเพิ่มอีก 5% ด้วยความงกขึ้นสมองของเรา ผนวกกับอยากได้ของเล่นใหม่ ก็เลยหน้ามืดซื้อ "That gal" มาด้วยเลย (นี่ชั้นเสียตังค์เพราะแกเลยนะออยล์ เลยยืมมาถ่ายรูปทำ Review ก่อน เหอๆ)
เจ้า Dr. Feelgood นี่เป็นบาล์มที่ช่วยปกปิดรูขุมขน คล้ายๆ รองพื้นแต่ไม่มีสี ทำให้ดูเป็นธรรมชาติกว่า (งงสิว่าทำไมรู้ดี จริงๆ แอบลองที่เคาน์เตอร์มาแร้น หุหุ) เราว่าเวิร์คนะสำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้าง แต่อยากแต่งหน้าอ่อนๆ เพราะจะช่วยให้หน้าเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ดูโบ๊ะเกิน ส่วนเรื่องคุมความมันตามที่ BA บอกนี่ไม่แน่ใจนะ เพราะเราว่าทาแล้วมันก็ดูมันๆ อยู่ ที่จริงเราไปสืบราคามา เมื่อเทียบกับสินค้าตัวอื่นของ benefit ที่ขายเมืองไทยราคาไม่ค่อยต่างกับที่เมกา แต่ตัวนี้ซื้อที่เมกาจะถูกกว่าหลายร้อยอยู่ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเค้าตั้งราคายังไง อ้อ! ถ้าใครอยากลองใช้ดูก่อน เราขอแนะนำให้ไปหาซื้อตัว Tester ตามที่เค้าหิ้วของนอกมาขายนะ วันก่อนไปเจอขายอยู่ประมาณ 150.- ตลับเล็กๆ คล้ายลิปมัน ว่าเดี๋ยวจะไปซื้อมาลองใช้ดู เผื่อไม่เวิร์คจะได้ไม่เสียดายตังค์
ส่วน "That gal" อันนี้ จริงๆ มันก็คือ Primer ที่ช่วยให้หน้าสว่างขึ้นนั่นแหละ เคยไปอ่านรีวิวที่อื่นมา
เห็นว่าเวิร์ค อีกอย่างคือ ตอนลองที่เคาน์เตอร์เห็นความแตกต่างก่อน-หลังใช้ค่อนข้างชัดเลยทีเดียว เลยสอยมาซะ พอมาใช้จริงก็ประทับใจนะ เพราะด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนหมากฝรั่ง (ทาแล้วอยากกิน) กับครีมสีชมพูอ่อนที่ปลิ้น ออกมาจากหลอดที่เหมือนกาวยู้ฮู (มันปลิ้นออกมาจริงๆ ดูรูปสิ) ทาแล้วหน้าจะดูสว่างใสอมชมพูขึ้น ถ้าคนที่หน้าไม่มีรอยแดงหรือดำ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้รองพื้น ใช้ตัวนี้ตัวเดียวเลยก็ได้ เวิร์คอยู่นะ
ส่วนอันนี้ล่าสุด เพิ่งไปถอยมาตอน Central Mid-night Sale เป็นสีออกใหม่เลย ชื่อ Coralista ตอนแรกไปลองที่เคาน์เตอร์ ตอนนั้น BA กำลังวุ่นวายกับลูกค้าคนอื่นอยู่ เราเลยลองเองเอาแต้มๆ ที่หลังมือ แล้วก็ เอ๊ะ! ทำไมมันมีแต่ประ
กายทอง ไม่เห็นมีสีเลย ก็ผิดหวังหน่อยๆ เนื่องจากตอนแรกดูในเน็ทแล้วอยากได้มาก ก็เลยตัดใจเดินจากไป แต่พอมาถึงตรงทางเข้าโซนพลาซ่า ก็มีบูทของ benefit ตั้งโปรโมทตัวนี้อยู่ เราก็เลยชะแว้บเข้าไปลองอีกรอบ (ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน) คราวนี้เราก็เลยถาม BA ตรงๆ เลยว่าทำไมลองแล้วสีไม่ออกเลย เค้าก็เลยบอกว่า มันต้องลองกับแก้ม แล้วเค้าก็ลองปัดที่แก้มเราเลย โอ้ววววว สีออกชัดทีเดียว ดูจากรูปอาจจะคล้ายสี Orgasm ของ Nars แต่พอปัดแล้วจะรู้ว่าไม่เหมือนเลย เพราะตัวนี้จะออกชมพูกว่า ปัดแล้วจะเหมือนมีทองฉาบอยู่บนแก้ม ยิ่งออกแดดจะเห็นชัดเลยว่าแก้มจะเงาๆ เหมือนพวกสาวๆ ที่เดินเล่นริมหาด โฮะๆๆๆ ชอบๆ